ค้นหาบล็อกนี้

Page Nav

HIDE

Grid

GRID_STYLE

Hover Effects

TRUE

Gradient Skin

{fbt_classic_header}

Update News:

latest

หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธเถรวาท ตอนที่ 2 เรื่องอัตตาที่แท้จริง (1)


หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธเถรวาท
ตอนที่ 2 เรื่องอัตตาที่แท้จริง (1)



 สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดง “อนัตตลักขณสูตร” เพื่อเปรียบเทียบคุณลักษณะของ “อัตตา” อันเป็นคุณลักษณะของพระนิพพาน กับสามัญลักษณะ (อนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตา) ของสังขารธรรม มีเบญจขันธ์ (ได้แก่ รูป-เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณ) เป็นต้น ให้ปัญจวัคคีย์ ผู้บรรลุโสดาบันบุคคล ว่า
“ถ้ารูป...ฯลฯ จักได้เป็นอัตตาแล้วไซร้ รูป...ฯลฯ นั้น ก็ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธซิ...แต่ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะรูปเป็นอนัตตา รูป...ฯลฯ จึงเป็นไปเพื่ออาพาธ”

 พระพุทธองค์ทรงได้ตรัสอีกว่า “อสังขตธรรมมีอยู่ การสลัดออกซึ่งสังขตธรรม (มีเบญจขันธ์ เป็นต้น) จึงปรากฏ ดังพุทธดำรัสว่า “อัตถิ ภิกขะเว อะชาตัง อะภูตัง อะกะตัง อะสังขะตัง,โน เจ ตัง ภิกขะเว อะภะวิสสะ อะชาตัง อะภูตัง อะกะตัง อะสังขะตัง,นะยิธะ ชาตัสสะ ภูตัสสะ กะตัสสะ สังขะตัสสะ นิสสะระณัง ปัญญาเนถะ,ยัสฺมา จะ โข ภิกขะเว อัตถิ อะชาตัง อะภูตัง อะกะตัง อะสังขะตัง ตัสฺมา ชาตัสสะ ภูตัสสะ กะตัสสะ สังขะตัสสะ นิสสะระณัง ปัญญายะติ”

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติ อันไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว มีอยู่

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าธรรมชาติ อันไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยปรุงแต่งไม่ได้แล้ว จักไม่ได้มีแล้วไซร้ การสลัดออก ซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้ว จะไม่พึงปรากฏในโลกนี้เลย

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แล เพราะธรรมชาติ อันไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยปรุงแต่งไม่ได้แล้ว มีอยู่ ฉะนั้น การสลัดออก ซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้ว จึงปรากฏ”
(บาลี ขุ.อุ.25/160/207-208)

สมเด็จพระสังฆราชแพ (ติสฺสเทวมหาเถร) วัดสุเทพทัศนเทพวนาราม ราชวรมหาวิหาร ท่านแสดงไว้ว่า “ความรู้ที่เกิดปัญญาของเราจริง ๆ นั้น ควรต้องรู้ทั้ง 2 อย่าง คือ รู้ฝ่ายรับและฝ่ายปัด รู้ทั้งของแท้และของเทียม จึงจัดเป็นความรู้จริง ฉะนั้น ฉันใด คนที่ไม่รู้จักอัตตาแล้ว จะรู้จักว่าขันธ์ 5 เป็นอนัตตานั้นไม่ได้ ถึงเห็นและพูดอยู่ก็เห็นและพูดตามสัญญาเท่านั้น ไม่ใช่ความรู้ความเห็นตนเอง สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และอริยชนพุทธสาวกของพระองค์ ผู้มีญาณจักษุอันเสร็จมาแต่พระอริยมรรค ท่านเห็นว่า ขันธ์ 5 เป็นอนัตตา มิใช่ตัวตน เพราะท่านได้ธรรมอย่างอื่น คือ พระนิพพานเป็นอัตตาแล้ว ความรู้ของท่านเป็นความรู้จริงแท้ เพราะฉะนั้นแล พระองค์จึงตรัสกับพระพวกเบญจวัคคีย์ว่า อมตธรรมเราได้แล้ว ครั้นต่อมา พระองค์ก็ทรงแสดงขันธ์ 5 เหล่านั้นว่าเป็นอนัตตา ให้พระพวกเบญจวัคคีย์ฟัง เช่นนี้ พิจารณาดูเถอะ คนที่ไม่ได้อัตราจะพูดว่าขันธ์ 5 เป็นอนัตตาอย่างไรได้” (1)

(1) สมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทวมหาเถร) วัดสุทัศน์เทพวรารามราชวรมหาวิหาร เถรบัญญัติ : หสน.อาทรการพิมพ์,พ.ศ.2554)
หลวงปู่มั่น ภูริทตฺตมหาเถร ได้แสดงโวหารธรรมไว้ว่า “ได้สมบัติทั้งปวง ไม่ประเสริฐเท่าได้ตน เพราะตัวตน เป็นที่เกิดแห่งสมบัติทั้งปวง”
(จากแผ่นจารึกในพิพิธภัณฑ์ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตมหาเถระ วัดป่าสุทธาวาส อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร)

#อ่านต่อตอนที่ 3 นะครับ

เรียบเรียงโดย “ตั้งอยู่ในธรรม”
อ้างอิง : หนังสือประสบการณ์การศึกษาสัมมาปฏิบัติ ตามแนวสติปัฏฐาน 4 ถึงธรรมกาย และพระนิพพานของพระพุทธเจ้า โดย พระเทพญาณมงคล (เสริมชัย ชยมงฺคโล) เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม,หน้า 28-32.

Cr.Peet-Gunatthito

ไม่มีความคิดเห็น